Type Here to Get Search Results !

10 อันดับ สัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่อยากให้สูญพันธุ์

ข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก wonderslist

10. โลมาแม่น้ำจีน
       โลมาแม่น้ำจีน เป็นโลมาน้ำจืด อาศัยอยู่ในแม่น้ำแยงซีตอนกลางและตอนล่างของประเทศจีน รวมทั้งแม่น้ำเชียนถังที่อยู่ใกล้เคียง มีผู้เห็นโลมาแม่น้ำจีนครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2004 ก่อนหน้านั้นโลมาแม่น้ำจีนตัวผู้ชื่อ "ชีชี" ที่สถาบันไฮโดรไบโอโลยีแห่งอู่ฮั่น เลี้ยงไว้ตายลงเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งชีชีเป็นโลมาแม่น้ำจีนที่ชาวประมงจับได้โดยบังเอิญในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1980 มีความพยายามของนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันแห่งนี้ที่จะผสมพันธุ์กับโลมาแม่น้ำจีนตัวเมียหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งได้มีการเก็บรักษาเซลล์ของชีชีไว้เพื่อที่ทำการโคลนนิ่งและเมื่อปี ค.ศ. 2007 มีนักสำรวจกลุ่มหนึ่งได้ล่องเรือสำรวจโลมาแม่น้ำจีน ไม่ปรากฏพบเจอหรือร่องรอยเลย จึงเชื่อว่าได้สูญพันธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากโลกนี้

Baiji River Dolphin

9. เสือเขี้ยวดาบ Saber Toothed tiger
         เสือเขี้ยวดาบ สัตว์ตระกูลแมวที่มีเขี้ยวยาวที่สุดในโลก และเมื่อมันกัดเข้าไปที่คอเหยื่อ เหยื่อจะตายในทันทีเพราะเขี้ยวมันยาวและแทงลึกถึงหลอดลม แต่อย่างไรก็ตามสไมโลดอนก็ยังมีขนาดที่เล็กกว่านักล่าตระกูลแมวใหญ่ทั่วไปเนื่องจากมันมีขนาดเท่ากันกับสิงโตแอฟริกาในปัจจุบัน แต่ขนาดที่เล็กก็ยังทำให้มันวิ่งได้เร็วและคล่องแคล่วว่องไว หลังจากการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์และโลกเข้าสู่ยุคของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ได้มีนักล่าสายพันธุ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นมามากมาย โดยเสือเขี้ยวดาบถือเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนักล่าที่โดดเด่นและน่าสะพรึงกลัวที่สุดพวกหนึ่งที่เคยท่องเที่ยวอยู่บนโลกใบนี้  
แม้ว่าวิวัฒนาการของพวกเสือเขี้ยวดาบจะเป็นการสร้างลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเพื่อให้เหมาะกับการล่าเหยื่อขนาดใหญ่ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคของมัน ทว่านี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่นำพวกมันไปถึงทางตัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกได้ทำเหยื่อที่เหมาะสมกับพวกมันสูญพันธุ์ไปหมดเมื่อ 12000 ปีก่อน จึงทำให้พวกเสือเขี้ยวดาบต้องสูญพันธุ์ตามไปด้วย 

Saber Toothed Cats

8. แรดขน Woolly Rhino
แรดขน หรือ ซีโลดอนต้า อุทิลลิเซอร์โร่ เป็นแรดโบราณสายพันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วงยุคไพลโอซีน (Pliocene) จนถึงต้นยุคโฮโลซีน (Holocene) พวกมันเป็นดาวเด่นตัวหนึ่งแห่งยุคน้ำแข็ง ที่มีคนรู้จักไม่แพ้แมมมอธ อย่างไรก็ตาม ชื่อ ซีโลดอนต้า ไม่ค่อยเป็นรู้จักกันนัก คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ Woolly Rhino หรือแรดขน แรดขนเคยอาศัยกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่เอเชียจนถึงยุโรป จากฟอสซิลยุคแรกๆ เชื่อว่า พวกมันมีต้นกำเนิดในเอเชียกลาง ก่อนที่จะอพยพและแพร่พันธุ์ออกไปไกลถึงยุโรปในช่วงยุคน้ำแข็ง (Pleistocene) พวกมันมีจุดเด่นที่ขนหนาปกคลุมร่างกาย ที่ช่วยป้องกันมันจากความหนาวเหน็บของยุคน้ำแข็ง อีกทั้งยังมีโหนกอยู่ที่หลังซึ่งเชื่อว่า มีไว้เพื่อกักเก็บไขมันไว้เป็นพลังงานสำรองสำหรับฤดูหนาวที่ยาวนาน และขาดแคลนอาหาร จุดเด่นอีกอย่างของมัน คือ นอขนาดใหญ่ที่ปลายจมูก เมื่อมันโตเต็มที่ นอเหล่านี้จะยาวได้ถึง 2 เมตร เชื่อกันว่า พวกมันใช้เป็นสิ่งดึงดูดเพศตรงข้าม และอาจใช้กวาดหิมะที่อยู่ตามพื้นดิน เพื่อหาพืชต่างๆที่ถูกฝังอยู่ใต้หิมะเป็นอาหาร ซากที่สมบูรณ์ที่สุดของแรดขน ถูกค้นพบที่หลุมน้ำมันดิบในประเทศโปแลนด์ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับพวกมันได้มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ มีเพียงภาพวาดในถ้ำของมนุษย์ยุคโบราณเท่านั้น ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแรดขนที่สง่างามเหล่านี้

Woolly Rhino

7.นกพิราบพาสเซนเจอร์ Passenger pigeon
ในทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อ 500 ปีก่อน เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้คนจะเห็นนกพิราบพาสเซนเจอร์จำนวนนับล้าน ๆ ตัว บินรวมฝูงจนแทบจะทำให้ท้องฟ้ามือมิดไปชั่วขณะ และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว มีนกพิราบชนิดนี้อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือมากกว่า 5,000 ล้านตัวชะตากรรมที่เลวร้ายของฝูงนกเริ่มขึ้นตั้งแต่ชาวผิวขาวที่อพยพมาอยู่ในทวีปนี้ค้นพบว่า เนื้อของนกเหล่านี้มีรสชาติอร่อยเป็นเลิศเพียงใด พวกเขาได้ล่านกพิราบพาสเซนเจอร์ไปเป็นจำนวนมหาศาลด้วยวิธีการหลากหลาย ตั้งแต่การใช้ปืนยิง ใช้ตาข่ายขึงไว้ระหว่างต้นไม้สูงเพื่อดักจับฝูงนกที่บินผ่าน จนกระทั่งบางครั้งพวกทหารถึงกับใช้ปืนใหญ่บรรจุลูกปรายยิงเข้าใส่ฝูงนกและสังหารพวกมันลงนับพันตัวในการยิงครั้งเดียว เพื่อนำเนื้อมาเลี้ยงทหารทั้งกองร้อย นอกจากนี้มนุษย์ยังตัดไม่ทำลายป่าที่เป็นที่อยู่อาศัยของมันเพื่อเก็บไข่และลูกนกในรังไปเป็นอาหาร การทำไร่ และปศุสัตว์ 
จากที่เคยมีหลายพันล้านตัว ก็ค่อยๆหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใน ปี ค.ศ. 1914 ชะตากรรมของนกชนิดนี้ก็มาถึงจุดสุดท้าย โดย นกพิราบพาสเซนเจอร์เพศเมีย ชื่อ มาร์ธา ซึ่งถูกเลี้ยงไว้ที่สวนสัตว์ซินซินนาติ ได้ตายลง และนั่นคือ นกพิราบพาสเซนเจอร์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลก

Passenger Pigeons

6. เสือไทลาซีน Tasmanian Tiger 
ไทลาซีน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ เสือแทสเมเนีย เนื่องจากมีลายทางที่หลังคล้ายเสือ และลักษณะคล้ายหมาป่าหรือสุนัข ในอดีตไทลาซีนเคยเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องประเภทกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีถิ่นฐานอยู่ในออสเตรเลีย รัฐแทสเมเนีย และนิวกินี
ไทลาซีนสูญพันธุ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีบันทึกไว้ว่า ไทลาซีนตัวสุดท้ายที่สวนสัตว์โฮบาร์ต ชื่อ "เบนจามิน" ได้ตายลงเมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1936 เนื่องจากถูกละเลย ขาดการดูแลรักษา และถูกประกาศสถานะสูญพันธุ์โดย IUCN ในปี ค.ศ. 1982 และโดยรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐแทสเมเนียในปี ค.ศ. 1986 หลังจากไทลาซีนสูญพันธุ์ มาร์ซูเปียลกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ แทสเมเนียนเดวิล ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้จัดตั้งโครงการรวบรวมตัวอย่างทางพันธุกรรมจากไทลาซีนที่ถูกสตัฟไว้ทั่วโลก เพื่อหาหนทางที่จะทำการโคลนนิงไทลาซีนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ในปลายปี ค.ศ. 2016 ได้มีการเผยแพร่ภาพจากกล้องติดตามสัตว์ป่าของคณะนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ที่ทำการติดตั้งไว้ในพุ่มไม้ในเขตป่าของรัฐวิกตอเรีย ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ปรากฏเห็นภาพของสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนหมาป่าหรือสุนัข แต่มีส่วนหางแข็งตรงเหมือนลักษณะของไทลาซีน จึงอาจยืนยันได้ว่าไทลาซีนยังมิได้สูญพันธุ์ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ แต่ทว่าก็มีพยานพบเห็นอีกหลายราย แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าคือ ไทลาซีนจริง ๆ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยเจมส์คุก จึงได้มีโครงการตามหาการมีอยู่จริงของไทลาซีนขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2017

Tasmanian Tiger

5. นกโมอา นกโมอา 
นกโมอา เคยอาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธ์ไปหมดแล้ว มีความเกี่ยวข้องกับนกอีมูจากออสเตรเลีย ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ถึงต้นศตวรรษที่ 1900 มีหลายสายพันธุ์ของนกโมอาอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สรุปอย่างเป็นทางการได้ว่ามีอยู่ประมาณ 10-12 ชนิด
จากการศึกษาดีเอ็นเอ ของนกโมอา ได้มีการค้นพบว่านกโมอาตัวเมียกับตัวผู้มีความแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นทางขนาดลำตัวรึขนาดของกระดูก ตัวเมียมีขนาดที่ใหญ่กว่าและสูงกว่าตัวผู้อยู่ประมาณร้อยละ 150 และมีน้ำหนักกว่าร้อย 280 เหตุผลนี้ทำให้ตอนแรกมีการเข้าใจผิดคิดว่าโครงกระดูกที่ถูกค้นพบนี้เป็นของนก 2 ชนิด โครงกระดูกที่ถูกค้นพบได้ถูกนำมาประกอบกันแล้วจัดแสดงอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศนิวซีแลนด์ ศัตรูหลักที่ทำให้นกโมอาสูญพันธุ์คือนกอินทรีฮาสท์ จนกระทั่งมนุษย์ได้เข้ามาบนเกาะนิวซีแลนด์ ชาวมาวรีได้เริ่มเข้ามาในช่วง ค.ศ. 1300 และได้เริ่มการล่านกโมอาจนเริ่มสูญพันธุ์ ประมาณ ค.ศ. 1400 นกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรวมไปถึงนกอินทรีฮาสท์ซึ่งสูญพันธุ์ไปด้วยเนื่องจากไม่มีนกโมอาให้กิน 

Moas an Extinct Species

4. กบเลี้ยงลูกในกระเพาะ Gastric-brooding Frog
กบเลี้ยงลูกในกระเพาะ gastric-brooding frogs มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rheobatrachus silus พวกมันมีเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้น กบเลี้ยงลูกในกระเพาะ นี้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในรัฐควีนแลนด์ ของ ประเทศออสเตรเลีย เท่านั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่พวกมัน ถูกระบุว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้วจากรายงานของ IUCN โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์นั้นไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่ คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจาก การคุกคามที่อยู่อาศัย ของ พวกมันโดยมนุษย์ จากมลภาวะ จากโรคพยาธิ บ้างว่าจากเชื้อรา chytrid แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้สาเหตุโดยรวมนั้นเกิดจากกิจกรรมของพวกเราที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อย่างกะทันหัน

gastric-brooding frog

3.โดโด 
โดโด เป็นนกท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะบนหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Raphus cucullatus ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป โดโดไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ

Dodo - the most famous extinct animal

2.บูคาร์โด Bucardo
บูคาร์โด เป็นสัตว์ในตระกูลเดียวกับแพะ มีขนาดใหญ่ สง่างาม ตัวผู้มีเขาโง้งยาวอ่อนช้อย น้ำหนักตัวอาจมากถึง 99 กิโลกรัม ในอดีต บูคาร์โดหรือพีเรเนียนไอเบ็กซ์จำนวนมากอาศัยอยู่บนเทือกเขาพีเรนิสและเดินทางหากินข้ามไปมาระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส ไอเบ็กซ์เหล่านี้หากินบนเขาสูงและมีความระวังตัวอย่างมาก ทำให้การล่ามันด้วยอาวุธแบบโบราณทำได้ค่อนข้างลำบาก จนกระทั่งปืนเข้ามาสู่ดินแดนนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน การล่าบูคาร์โดก็ทำได้ง่ายขึ้น ประกอบกับเนื้อของมันมีรสชาติอร่อยและเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย ทำให้แพะป่าสายพันธุ์นี้ถูกมนุษย์สังหารด้วยปืนไปเป็นจำนวนมากตลอดเวลานับศตวรรษ จนเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ จำนวนของพีเรเนียนไอเบ็กซ์ได้ลดจำนวนลงจนเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว 
ในปี ค.ศ.1989 มีรายงานว่า เหลือพีเรเนียนไอเบ็กซ์หรือบูคาร์โดอยู่เพียงสิบกว่าตัว จากนั้นในอีกสิบปีต่อมา ก็เหลือบูคาร์โดเพศเมียอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น มันถูกตั้งชื่อว่า ซีเลีย ทีมเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออร์เดซาและมอนเตเปร์ดีโอของสเปนได้จับซีเลียมาใส่ปลอกคอวิทยุติดตาม ก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ทว่าอีกเก้าเดือนต่อมา ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2000 ได้มีเจ้าหน้าที่พบศพของซีเลียถูกต้นไม้ทับเสียชีวิต ในป่าทางตอนเหนือของสเปนและนั่นคือการสูญพันธุ์ครั้งแรกของบูคาร์โดหรือพีเรเนียนไอเบ็กซ์

Bucardo- Mountain Goat

1.แมมมอธ
เชื่อว่า แมมมอธสูญพันธุ์ไปเพราะถูกล่าโดยมนุษย์จนหมด แต่จากการศึกษาด้านพันธุกรรมศาสตร์และดีเอ็นเอพบว่า แมมมอธนั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้เคียงกับ Elephas หรือช้างเอเชียที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาจนปัจจุบัน จึงมีความพยายามจากนักวิทยาศาสตร์ที่จะโคลนนิงตัวอ่อนของแมมมอธให้เกิดขึ้นมาให้ได้ โดยให้แม่ช้างเอเชียเป็นฝ่ายอุ้มท้อง จากการสกลัดนิวเคลียสจากซากดึกดำบรรพ์ของลูกแมมมอธที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะถูกแช่แข็งในน้ำแข็ง จากไขกระดูกบริเวณต้นขา และจากหลักฐานใหม่ที่ได้ทำการศึกษาพบว่า แมมอธสูญพันธุ์ไปเพราะสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากกว่า โดยประชากรในยุโรปเกือบสูญพันธุ์ไปก่อนหน้านั้นเมื่อ 20,000-30,000 ปีก่อน จากนั้นเมื่อ 14,000 ปีก่อน โลกเริ่มมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น จึงพากันสูญพันธุ์ เนื่องจากสภาพร่างกายที่ใหญ่และมีขนยาวปกคลุมลำตัว

animals that Scientists want to de-extinct

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น
* Please Don't Spam Here. All the Comments are Reviewed by Admin.

Top Post Ad