Type Here to Get Search Results !

10 อันดับ อนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ของอียิปต์โบราณ

10 หุบเขากษัตริย์ Valley of the Kings
     หุบเขากษัตริย์ เป็นหุบเขาแห่งสุสานที่ฝังหลุมศพของกษัตริย์และราชวงศ์ในราชอาณาจักรใหม่ (ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 18 ถึง 20 ของอียิปต์โบราณ) หุบเขากษัตริย์ ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ฝั่งตรงข้ามกับเมืองธีปส์ หรือเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน ในปี 2006 ได้มีการค้นพบห้อง เควี 63 และในปี 2008 ได้ค้นพบทางเข้าสุสานอีก 2 แห่ง หุบเขานี้มีหลุมศพอยู่ 64 แห่ง มีห้องมากกว่า 120 ห้อง เป็นที่ฝังพระศพที่สำคัญของราชวงศ์ของอาณาจักรใหม่แห่งอียิปต์โบราณ รวมถึงยังมีสุสานของบุคคลสำคัญอีกหลายแห่ง สุสานตกแต่งด้วยภาพของเทพเจ้าอียิปต์และได้ให้ข้อมูลความเชื่อเกี่ยวกับพิธีศพในช่วงเวลานั้น สุสานทั้งหมดดูเหมือนจะถูกเปิดและโจรรกรรมวัตถุโบราณไปแล้ว แต่ก็ยังให้แนวคิดเกี่ยวกับความมั่งคั่งและอำนาจในการปกครองในยุคนั้น
   หุบเขากษัตริย์ โด่งดังมาจากการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน ที่เป็นที่เลื่องลือด้านคำสาปฟาโรห์และยังถือเป็นหนึ่งในสถานที่โบราณคดีที่โด่งดังที่สุดในโลก ในปี ค.ศ. 1979 ถูกยกให้เป็นมรดกโลก ร่วมกับส่วนที่เหลือของธีบันเนโครโพลิส การค้นพบการขุดค้นหาวัตถุโบราณและการอนุรักษ์ยังคงดำเนินการต่อไป และยังถือเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม

Valley Of The Kings

9 สุสานของราชินีฮัตเชปสุต Mortuary Temple of Queen Hatshepsut 
   เป็นสุสานที่ขุดเจาะเข้าไปในภูเขาที่เมืองเดียร์อัล-บาฮารี (Dier el Bahri) สุสานของพระนางฮัตเชปสุตสร้างโดยสถาปนิกชื่อ เซนมุท (Sen-Mut) สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตกาล ประกอบด้วยถนนใหญ่ตัดตรงไปสู่วิหาร บริเวณสองข้างทางมีสฟิงซ์เรียงรายอยู่ หน้าวิหารมีเสาซึ่งเป็นแท่งหินจารึกอักษรภาพ (obelisk) วิหารสร้างเป็นยกพื้นซ้อนกันเป็นชั้นเหมือนขั้นบันได (terrace) แต่ละชั้นมีแถวของเสาชั้นละ 22 ต้น ระหว่างชั้นเชื่อมด้วยทางเดินลาดสูงขึ้นไป ห้องพิธีกรรมอยู่บริเวณในสุด มีรูปสลักลอยตัวประมาณ 200 รูปประดับอาคาร ภายในอาคารแต่ละชั้นมีภาพสลักนูนต่ำระบายสี แสดงเรื่องราวของพระนางตั้งแต่ประสูติ สถาปนาเป็นราชินี ไปจนถึงสิ้นพระชนม์ 

temple of

8 วิหารเมดิเนต ฮาบู  Medinet Habu
   วิหารเมดิเนต ฮาบู เป็นวิหารที่ตังอยู่ทางทิศตะวันตกของธีบส์ ส่วนด้านบนของวิหารจะหันไปทางทิศใต้ วิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ใช้ในการประกอบพิธีศพของฟาโรห์รามเมสที่ 3 แห่งราชวงศ์ที่ 20 วิหารเป็นสถาปัตยกรรมแบบซีเรีย ที่ทำหน้าที่เหมือนกับป้อมปราการ ในอดีต ด้านหน้าของวิหารจะมีท่าเรือ อยู่เชื่อมกับประตูแม่น้ำไนล์ โดยคลองเล็กๆ ดังนั้นจึงต้องมีการสร้างป้อมปราการเอาไว้ด้านหน้า วิหารแห่งนี้อยู่ในสภาพที่เกือบจะสมบูรณ์และผนังบางส่วนยังมีสีอยู่บ้าง อีกหนึ่งจดเด่นของวิหารแห่งนี้นั้นก็คือ ไพลอน ที่มีขนาดหึมาสูงประมาณ 27 เมตร และมีการชำรุดไปแล้วบางส่วน


7 พีระมิดโซเซอร์ Pyramid of Djoser
     พีระมิดโซเซอร์ หรือ พีระมิดแห่งซักคารา นับเป็นพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ ที่ฟาโรห์โซเซอร์  แห่งราชวงศ์ที่ 3 เป็นผู้สร้างขึ้น โดยมี อิมโฮเทป (Imhotep) ที่ปรึกษาประจำองค์ฟาโรห์เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ ลักษณะที่สำคัญคือเป็น พีระมิดขั้นบันใด (Step Pyramid) ซ้อนกันรวม 6 ชั้น ในขณะที่พีระมิดยุคต่อมาจะไม่มีลักษณะของขั้นบันไดให้เห็น ก่อนหน้านี้สุสานของฟาโรห์จะสร้างอยู่ใต้ดินโดยปิดทับด้วยสิ่งก่อสร้างที่ไม่สูงมากนักเรียกว่า มัสตาบา (Mastaba)


6 วิหารลักซอร์ Luxor Temple
   วิหารลักซอร์ เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ในเมืองลักซอร์ ทางภาคกลางของอียิปต์ สร้างขึ้นโดย ฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3 ประมาณ 3,400 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงสร้างวิหารแห่งนี้พร้อมกับการบูรณะต่อเติมวิหารคาร์นักไปด้วย หากนับวิหารถึงปัจจุบันจะมีอายุรวม 3,400 ปี วิหารได้รับการปฏิสังขรณ์สานต่อจากฟาโรห์องค์ต่อมาหลายพระองค์ แต่ที่เด่นที่สุดจนวิหารแห่งนี้ดูสมบูรณ์แบบสวยงามนั้นเป็นฝีมือของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่นี่เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อนของเทพอะมอนราและครอบครัวคือเทวีมัตและเทพคอนส์หรือคอนชู  หน้าวิหารมีเสาโอเบลิสก์ตั้งโดดเด่น 1 ต้น เป็นสัญลักษณ์ควบคู่วิหารแห่งนี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เข็มแข็ง มั่นคง มีความหมายถึงชีวิต ความสว่างและความรุ่งโรจน์ ปกติแล้วมักจะนิยมวางเสานี้เป็นคู่ แต่ปัจจุบันอีกต้นถูกนำไปตั้งไว้ที่ปลาซเดอลาคองคอร์ด กลางกรุงปารีส เพื่อเป็นของขวัญแก่ประเทศฝรั่งเศสในสมัยของโมฮาเหม็ด อาลี ดาชา (Mohamed Ali Dasha) เมื่อปี ค.ศ. 1819 


5 วิหารคาร์นัก Karnak Temple
   มหาวิหารคาร์นัก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลักซอร์ 3 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา (สุริยะเทพ) และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ  คาร์นักเป็นชื่อหมู่บ้านของเทพอะมอน เดิมชื่อเมืองวาเซ็ต แล้วต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนครธีบส์ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรไอยคุปต์มาตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 11 จนถึงราชวงศ์ที่ 21 รวมเวลานับ 1,000 ปี (2120-1085 ปีก่อนคริสตกาล) และกลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งเป็นเวลา 50 ปี ในราชวงศ์ที่ 25 716-666 ปีก่อนคริศตกาล วิหารคาร์นักสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่1 ( Sesostris I ) และอีกหลายพระองค์ต่อมา ซึ่งอยู่ในสมัยยุคกลาง หลักฐานเก่าแก่ที่สุดอยู่ในหมู่วิหารของเทพอะมอนรา คือห้องบูชาและห้องแท่นบูชาเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนรา ที่สร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 (Sesostris I) ต่อมาได้รับการต่อเติมปฏิสังขรณ์ขยายอาณาเขตออกไปเรื่อยๆทุกยุค วิหารแห่งนี้จึงเป็นศูนย์รวมความเชื่อความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวอียิปต์โบราณ เทพเจ้าอะมอนราก็เป็นสุริยะเทพอันยิ่งใหญ่และเป็นเทพประจำเมืองนี้มาโดยตลอด

Karnak Temple

4 อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน Colossi of Memnon
   อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน เป็นรูปกาะสลักหินทรายขนาดใหญ่ 2 รูป มีความสูงถึง 20 เมตร มีน้ำหนัก 750 ตัน ซึ่งสมัยก่อนเป็นวิหารที่ใช้ฝังพระศพของฟาโรห์อเมนโนฟิสที่ 3แต่เมื่อ 27 ปีก่อนคริสตกาลเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ทำให้ตัววิหารทั้งหลังพังลงมา เหลือเพียงรูปสลัก 2 รูปเท่านั้น ซึ่งต่างมีตำนานที่เล่าต่างกันไป แต่บ้างก็ว่าอาจจะได้ยินเสียงออกมาจากรูปสลักทั้งสองนี้ก็เป็นได้


3 มวิหารอะบูซิมเบล Abu Simbel Temples
   มหาวิหารอะบูซิมเบล เป็นมหาวิหารของอียิปต์โบราณอันประกอบขึ้นจากหินขนาดใหญ่สองก้อน มีลักษณะเป็นรูปปั้นองค์ฟาโรห์ทั้งสี่ ส่วนองค์ที่สองถล่มลงเนื่องจากแผ่นดินไหว ตั้งอยู่ทางใต้ของอียิปต์ บนริมฝั่งตะวันตกของทะเลสาบนัสซอร์ ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตรจากอัสวาน และเป็นโบราณสถานหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโก นอกจากนี้ยังรู้จักกันในนาม อนุสรณ์สถานแห่งนิวเบีย แต่เดิมมหาวิหารถูกก่อสร้างโดยการเจาะแกะสลักเข้าไปในภูเขาหินในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในช่วงศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสตกาล และยังเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสุดท้ายของพระองค์และพระมเหสีของพระองค์นั้นคือพระนางเนเฟอร์ทารี ซึ่งอะบูซิมเบล ยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับชัยชนะของอียิปต์ที่มีต่อนิวเบียที่สมรภูมิแห่งคาเดส อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่นิวเบียไม่ให้มารุกรานอียิปต์ซึ่งเป็นอาณาจักรใกล้เคียง อย่างไรก็ตามมหาวิหารทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายโดยคณะวิศวกรจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งใช้เวลาตลอดทั้งทศวรรษที่ 1960 เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนอัสวาน อันจะส่งผลให้มหาวิหารและโบราณสถานที่รายรอบอยู่ต้องจมอยู่ก้นทะเลสาบนัสซอร์ ปัจจุบันมหาวิหารเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและโด่งดังแห่งหนึ่งของอียิปต์ ซึ่งครั้งหนึ่งนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและญี่ปุ่นเคยถูกลอบสังหารขณะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้


2 มหาสฟิงซ์ The Great Sphinx Of Giza
   มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) คือ รูปสฟิงซ์แกะสลักด้วยหินขนาดใหญ่ที่สุด ใน ประเทศอียิปต์ มีตัวเป็น สิงโต และมีหัวเป็น มนุษย์ อยู่ในบริเวณหมู่พีระมิดทั้ง 3 แห่งกิซ่า หมอบเฝ้าอยู่ใกล้กับ พีระมิดคาเฟร โดยหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก สฟิงซ์คือชื่อ สัตว์ประหลาด ในตำนานไอยคุปต์วิทยา และมีในตำนานชนชาติอื่นด้วย มีลักษณะต่างกันไป แต่จะมีตัวเป็นสิงโตเหมือนกัน สฟิงซ์ในตำนานกรีก มีใบหน้าและช่วงอก เป็นหญิงสาว มีปีกแบบนกอินทรีย์ และสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สฟิงซ์จะคอยถามคำถาม กับมนุษย์ที่หลงมาพบมันเข้า หากตอบคำถามไม่ได้ มนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายนั้นก็จะถูกสังหาร ส่วนสฟิงซ์ของอียิปต์โบราณ ไม่มีปีกมีหน้าเป็นมนุษย์ผู้ชาย และยังมีแบบที่หัวเป็นแกะ (Criosphinx) และหัวเป็นนกเหยี่ยว (Hierocosphinx) อีกด้วย

great monuments of ancient egypt

1 มหาพีระมิดแห่งกีซา Great Pyramid of Giza
   พีระมิดคูฟู หรือ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา เป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน




ที่มา themysteriousworld

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น
* Please Don't Spam Here. All the Comments are Reviewed by Admin.

Top Post Ad