1 Rat Snake
2 แมลงหางหนีบ
แมลงหางหนีบจะหลบซ่อนตัวอยู่ภายในลำต้นและตามซอกกาบใบ หรือตามซอกดินที่มีเศษใบไม้และสามารถหาเหยื่อตามซอกมุมได้ดี การทำลายเหยื่อที่เป็นตัวหนอน โดยการใช้แพนหางซึ่งมีลักษณะคล้ายคีมหนีบลำตัวเหยื่อแล้วกินเป็นอาหาร แต่ถ้าเป็นเพลี้ยอ่อนก็จะกัดกินโดยตรง แมลงหางหนีบเป็นแมลงที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด เมื่อถูกคุกคามจากสัตว์ต่าง ๆ เช่นกบ คางคกและแมลงชนิดอื่น มันฉีดของเหลวสีเหลืองจากต่อมกลิ่นเหม็นของมันเมื่อถูกคุกคาม เพื่อช่วยป้องกันพวกมันจากนักล่า
3 นกหัวขวาน
จะงอยปากที่แหลมยาวและแข็งแรงเหมือนลิ่มของนกหัวขวาน มีไว้เจาะลำต้นของต้นไม้ใหญ่ประเภทไม้ยืนต้นจนเป็นรูหรือเป็นโพรงได้เป็นอย่างดี ขณะที่เจาะต้นไม้อยู่นั้นจะได้ยินเสียงกังวาลไปไกลเป็นเสียง "ป๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ" เพื่อที่จะหาหนอนและแมลงที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกไม้และเนื้อไม้กินเป็นอาหาร ด้วยการใช้ลิ้นและน้ำลายที่เหนียวดึงออกมา ลิ้นของนกหัวขวานเมื่อยืดออกจะยาวมาก โดยลิ้นนี้จะถูกเก็บไว้โดยการพันอ้อมกะโหลก แล้วเก็บปลายลิ้นไว้ที่โพรงจมูกด้านในซึ่งการกระทำเช่นนี้นับว่าเป็นผลดีต่อต้นไม้ที่ช่วยกำจัดหนอนแมลงที่รบกวนได้ อันเป็นที่มาของชื่อสามัญทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จนได้รับฉายาว่า "หมอรักษาต้นไม้" แม้จะมีขนที่สวยงาม แต่สำหรับกลิ่นของพวกมัน เป็นกลิ่นที่เลวร้ายที่สุด เหมือนกับไข่เน่า แต่กลิ่นที่ถูกปล่อยออกมานี้ เป็นวิธีที่ใช้ในการปกป้องรังของมันจากสัตว์อื่น
4 แทสเมเนียน เดวิล
แทสเมเนียน เดวิล มีขนาดใกล้เคียงกับสุนัขตัวเล็ก ๆ ถือเป็นมาร์ซูเปียลกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ไทลาซีนสูญพันธุ์เมื่อปี ค.ศ. 1936 เป็นสัตว์ที่มีนิสัยดุร้าย และถือว่าเป็นสัตว์ที่มีกรามขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับขนาดตัว แทสเมเนียน เดวิลจะปล่อยกลิ่นฉุนเมื่อถูกคุกคาม เพื่อป้องกันตัวจากนักล่า
5 วุลเวอรีน
6 แมลงสิง
แมลงสิง Leptocorisa oratorius (Fabricius) เป็น มวนชนิดหนึ่ง ตัวเต็มวัยมีรูปร่างเพรียวยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร หนวดยาวใกล้เคียงกับลำตัว ลำตัวด้านบนสีน้ำตาล ลำตัวด้านล่างสีเขียว เมื่อถูกรบกวนจะบินหนี และปล่อยกลิ่นเหม็นออกจากต่อมที่ส่วนท้อง ตัวเต็มวัยจะออกหากินช่วงบ่ายๆ และช่วงเข้ามืด และเกาะพักที่หญ้าขณะที่มีแสงแดดจัด เพศเมียวางไข่ได้หลายร้อยฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2-3 เดือน วางไข่เป็นกลุ่มมี 10-12 ฟอง เรียงเป็นแถวตรงบนใบข้าวขนานกับเส้นกลางใบ ไข่มีสีน้ำตาลแดงเข้ม รูปร่างคล้ายจาน ระยะไข่นาน 7 วัน ตัวอ่อนมีสีเขียวแกมน้ำตาลอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และดูดกินน้ำเลี้ยงจากกาบใบข้าวก่อน ต่อมาเป็นตัวเต็มวัยจะเข้าทำลายเมล็ดข้าวในระยะข้าวเป็นน้ำนมจนถึงออกรวง ตัวอ่อนมี 5 ระยะ
7 สกังก์
สกังก์เป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการป้องกันตัว ด้วยการฉีดสารเคมีสีเหลืองที่มีกลิ่นฉุนมาก ตลบอบอวลไปในอากาศได้เป็นเวลานาน ซึ่งสารเคมีนี้ปล่อยมาจากต่อมลูกกลมคล้ายลูกองุ่น 2 ต่อมใกล้ก้น เมื่อสกังก์จะปล่อยจะใช้กล้ามเนื้อบีบพ่นออกมา ซึ่งสามารถพุ่งได้ไกลถึง 25 ฟุต แม้จะหันหลังให้ก็ตาม แต่ก็สามารถปล่อยได้แม่นยำโดยเฉพาะใส่บริเวณใบหน้าและดวงตาของผู้รุกราน ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้รู้สึกแสบร้อน และตาบอดไปชั่วขณะ เพื่อที่สกังก์จะได้มีเวลาหนี แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้กับสัตว์นักล่าทุกประเภท เช่น นกเค้าใหญ่ซึ่งไม่มีประสาทดมกลิ่นและจู่โจมเหยื่อส่วนหลังจากบนอากาศอย่างเงียบเฉียบ และหากสกังก์ปล่อยสารเคมีนี้แล้ว ต้องใช้เวลานานถึง 10 วัน ที่จะผลิตสารนี้ให้เต็ม ดังนั้นสกังก์จึงไม่ใช้วิธีนี้บ่อย ๆ หากไม่จำเป็นจริง ๆ
8 แมลงตด
แมลงตด (Bombardier beetles) เป็นแมลงประเภท ด้วงดิน มันได้ชื่อนี้มาจากวิธีการป้องกันตัวของมัน คือการปล่อยสารพิษประเภทควิโนน ออกมาเป็นละอองเหมือนหมอกทางก้นของมัน และมีเสียงคล้ายตดอีกด้วย ซึ่งมันผลิตสารพิษจากสาร 2 ชนิดคือ ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogenperoxide) โดยแมลงตด จะมีช่องท้อง 2 ช่องที่เก็บสาร 2 ชนิดนี้ไว้ เมื่อมีภัยหรือถูกรบกวน มันจะเปิดช่องทั้ง 2 นี้ให้สารทั้ง 2 ชนิดมาผสมกันกับน้ำในช่องที่ 3 ที่มีเอนไซม์ (catalytic enzyme) ตัวหนึ่งอยู่ทำให้เกิดปฎิกิริยาทางเคมีและความร้อนส่งผลให้เกิดแก๊สและแรงดันในช่องท้อง พ่นละอองของสารพิษออกมาจากก้นมัน
9 พังพอนลาย
มักหากินในเวลากลางคืนโดยกินอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ ผลไม้, ลูกไม้, แมลง, สัตว์ทั้งมีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กต่าง ๆ รวมถึง แมงมุม, แมงป่อง และงูหรือกิ้งก่าอีกด้วย อีกทั้งพังพอนเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว สามารถพองขนให้ตัวมีขนาดใหญ่ขึ้นได้เพื่อขู่ศัตรู และมีภูมิคุ้มกันพิษงูอยู่ในตัว จึงสามารถสู้กับงูพิษได้เป็นอย่างดี ด้วยการหลอกล่อให้งูเหนื่อย และฉวยโอกาสเข้ากัดที่ลำคอจนตาย แต่ถ้าหากถูกกัดเข้าอย่างจัง ก็ทำให้ถึงตายได้เช่นกัน
10 ตัวกินมด
ตัวกินมดเป็นสัตว์ที่เหม็นมาก ในความเป็นจริงมันสามาสารถปล่อยกลิ่นไม่พึงประสงค์จากต่อมใต้หางของพวกมัน เพื่อป้องกันตัวมันจากการล่าของสัตว์อื่น
ที่มา themysteriousworld