1.ค้างค้าวคุณกิตติ
ค้างคาวคุณกิตติ, ค้างคาวกิตติ หรือ ค้างคาวหน้าหมู (อังกฤษ: Kitti's hog-nosed bat,
Bumblebee bat) เป็นค้างคาวที่จัดอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
และเป็นค้างคาวเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในวงศ์ Craseonycteridae และสกุล Craseonycteris พบได้ทางตะวันตกของประเทศไทย และทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศพม่า อาศัยอยู่ตามถ้ำหินปูนริมแม่น้ำ
ค้างคาวคุณกิตติเป็นค้างคาวและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีสีน้ำตาลปนแดงเรื่อๆ หรือสีเทา มีจมูกคล้ายจมูกหมู มีอุปนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เฉลี่ยแล้วกลุ่มละ 100 ตัวต่อถ้ำ ออกหากินเป็นช่วงสั้นๆในตอนเย็นและเช้ามืด
หากินไม่ไกลจากถ้ำที่พักอาศัย กินแมลงเป็นอาหาร ตกลูกปีละหนึ่งตัว
สภาวะของค้างคาวคุณกิตติในประเทศพม่าไม่เป็นที่แน่ชัด
และประชากรที่พบในประเทศไทยก็พบว่าจำกัดอยู่ในเพียงจังหวัดเดียว
ทำให้ค้างคาวคุณกิตติอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
สาเหตุหลักเกิดจากการคุกคามจากมนุษย์ และการลดลงของถิ่นที่อยู่อาศัย
ค้างคาวคุณกิตติลำตัวยาวประมาณ 29-33
มม. หนักประมาณ 2 กรัม พบในถ้ำหินปูนริมแม่น้ำในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ ในประเทศไทยพบค้างคาวคุณกิตติจำกัดอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรี ในแถบลุ่มน้ำของแม่น้ำแควน้อย ในอุทยานแห่งชาติไทรโยคพบการกระจายตัวของค้างคาวมากที่สุด
ค้างคาวคุณกิตติอาศัยในถ้ำตามผาหินปูนไกลจากปากถ้ำ มีประมาณ 10-15
ตัวในแต่ละถ้ำย่อย เฉลี่ยกลุ่มหนึ่งมีประมาณ 100 ตัว สูงสุด 500 ตัว เกาะนอนตามผนังสูงหรือเพดานถ้ำ
แยกจากตัวอื่นๆ พบว่ามีการอพยพย้ายถ้ำระหว่างฤดูกาลด้วยเช่นกัน
จากการพิจารณาในปี พ.ศ. 2551 ค้างคาวคุณกิตติจัดอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จากการลดลงของประชากร ในประเทศไทย
ค้างคาวคุณกิตติจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535 ปัจจุบัน
จากฐานข้อมูลชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในประเทศไทยค้างคาวคุณกิตติอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
(CR)
2.หนูผีจิ๋ว
หนูผีจิ๋ว หรือ หนูผีอีทรัสแคน (อังกฤษ: Dwarf shrew, Etruscan pygmy shrew, ชื่อวิทยาศาสตร์: Suncus etruscus) เป็นหนูผีชนิดหนึ่ง
หนูผีจิ๋ว มีเท้าหลังสั้นมากและมีสีคล้ำในตัวเต็มวัย กะโหลกลาดแบน จมูกแหลมยาวมาก
ตามีขนาดเล็กมาก ใบหูมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดลำตัว มีความจากหลายจมูกถึงรูทวารเพียง 4–5.6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 1.8 กรัม เท่านั้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกจัดให้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกมาแล้ว ก่อนจะถูกแทนที่ตำแหน่งนี้ด้วยการค้นพบค้างคาวคุณกิตติ (Craseonycteris thonglongyai) ในเวลาต่อมา
หนูผีจิ๋ว
มีพฤติกรรมชอบอาศัยในที่เปียกชื้นและมีหญ้าขึ้นรก หากินแมลงขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ
ตามพื้นดินเป็นอาหาร
ไม่จัดว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองแต่อย่างใด
พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกาเหนือ และบางส่วนในทวีปเอเชีย สำหรับในประเทศไทยพบได้ในป่าในภาคเหนือ ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3.มาโทเสท
มาโมเสท (อังกฤษ: Marmoset) เป็นลิงในกลุ่มลิงโลกใหม่ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีหางยาว หากินกลางวัน
กินผลไม้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์ตระกูล Callithricidae
และเป็นลิงขนาดเล็กที่สุดในโลก ลิงมาโมเสทเป็นลิงที่น้ำหนักประมาณ5-7ขีด
4.ฮันนีพอสซัม
ฮันนีพอสซัม
มีอายุขัยโดยเฉลี่ยเพียง 1–2 ปีเท่านั้น เป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน
พบกระจายพันธุ์เฉพาะพื้นที่ที่แห้งแล้งทางตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย โดยกินน้ำต้อยและเกสรจากดอกของต้นแบงเซีย ซึ่งเป็นพืชดอกพื้นเมืองของออสเตรเลีย
โดยใช้ลิ้นที่ยาวที่บริเวณตอนปลายมีลักษณะคล้ายแปรงหรือหวีตวัดกิน จากจะงอยปากที่ไม่มีฟัน และยาวบาง
ฮันนีพอสซัมตัวเมียสามารถกินน้ำต้อยได้มากถึงร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวในแต่ละคืน
ฮันนีพอสซัม
จึงเป็นสัตว์ที่ช่วยในการผสมเกษรของต้นแบงเซีย
นอกจากจะเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องขนาดเล็กแล้ว ตัวอ่อนแรกเกิดของฮันนีพอสซัมยังถือเป็นตัวอ่อนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กมากที่สุดอีกด้วย โดยมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 5 มิลลิกรัมเท่านั้น
5.เพียงพอน
(อังกฤษ: Weasel, Mink, Ferret, Eermine, Polecat) คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในสกุล Mustela ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์Mustelidae มีถิ่นกำเนิดกว้างขว้างทั้งในทวีปเอเชีย, แอฟริกาเหนือ, ยุโรป, อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้
เพียงพอน มีรูปร่างโดยรวมเป็นสัตว์ขนาดเล็ก มีความยาวตั้งแต่ 15-55 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 30-40 กรัม ไปจนถึง 1.4-3.2 กิโลกรัมเป็นสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร มีรูปร่างเพรียวยาว ส่วนขาทั้งสี่ข้างสั้น มีนิ้วเท้า 5 นิ้ว เล็บมีความแหลมคม แต่พับเก็บเล็บไม่ได้ ปากแหลม ภายในปากมีฟันแหลมคมจำนวน 34 ซี่ ทุกชนิดจะมีต่อมกลิ่นที่ก้น ซึ่งจะผลิตสารเคมีสีเหลืองคล้ายน้ำมันที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง ใช้ในประกาศอาณาเขต เป็นสัตว์มีความปราดเปรียวว่องไว หากินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยจะล่าสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู, หนูผี, ตุ่น, แมลง, สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นอาหาร รวมทั้งอาจล่ากระต่ายได้ด้วย รวมทั้งล่าเป็ด, ไก่, นกกระทา ในพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ได้ด้วย ซึ่งจะใช้ลำตัวที่เพียวยาวนั้นมุดเข้าไปล่าถึงในโพรงดิน
นอกจากนี้แล้ว เพียงพอนเป็นสัตว์ที่เมื่อผสมพันธุ์กันแล้ว ตัวผู้จะผสมกับตัวเมียหลายตัว แต่จะอยู่กับตัวเมียเพียงตัวเดียว ในบางชนิด ไข่เมื่อได้รับการปฏิสนธิแล้ว จะยังไม่ฝังตัวในผนังมดลูก แต่จะลอยอยู่อย่างนั้น ซึ่งอาจกินเวลานับ 10 เดือน จะฝังตัวเฉพาะเมื่อถึงฤดูกาลที่อาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้น มีระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 35-45 วัน ออกลูกครั้งละ 4-10 ตัว และอาจมากได้ถึง 13 ตัว ซึ่งจะออกลูกในโพรงของสัตว์ที่ล่าได้ ลูกที่เกิดใหม่ตาจะยังไม่ลืม จะมีขนบาง ๆ ปกคลุมลำตัวเท่านั้น จะลืมตาเมื่ออายุได้ 3-4 สัปดาห์ หรืออาจจะ 5-6 สัปดาห์ มีระยะเวลาการกินนมแม่ 5-10 สัปดาห์ และจะอาศัยอยู่กับแม่จนอายุได้ 1 ปี
6.หมูจิ๋ว
หมูพันธุ์ที่มีขนาดโตเต็มวัยราวๆ
60 กก.
(ขนาดประมาณหมูกระโดนหรือหมูกี้ตัวดำๆน้อยๆบ้านเรานั่นแล)
หมูเหล่านี้ถูกส่งไปเพื่อใช้ทดลองยาและทดสอบการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ
ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้าพวกนี้ตัวเล็กกว่าหมูฟาร์มที่พัฒนาไว้ขุนขายเนื้อเพราะหมูขุนเมื่อโตเต็มที่จะหนักหลายร้อยกิโลกรัม
ซึ่งไม่สะดวกกับการเป็นสัตว์ทดลอง หมูพ๊อตเบลลี่(Potbellied pigs)จากเวียดนามก็เป็นหมูอีกชนิดที่ถูกนำไปใช้ในการทดลอง
และด้วยขนาดและสีสันที่ดึงดูดใจ
หมูพันธุ์พ๊อตเบลลี่จึงถูกซื้อไปเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดใหม่